ช่วงนี้ ไอกรน กลับมาระบาดอย่างหนัก ซึ่งถือเป็นโรคที่ไม่ควรมองข้ามโดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ไอกรน สามารถพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ปอดอักเสบ หรือภาวะการหายใจล้มเหลวได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ดังนั้น พ่อแม่ทุกคนควรสังเกตอาการและรู้วิธีป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงให้กับลูกน้อยของคุณ
ไอกรนติดต่ออย่างไร
ไอกรนเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายผ่านทางระบบทางเดินหายใจ เชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis จะแพร่กระจายเมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม และปล่อยละอองฝอยที่มีเชื้อออกมาในอากาศ เมื่อบุคคลอื่นสูดดมละอองฝอยเหล่านี้เข้าไปก็จะมีโอกาสติดเชื้อได้ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีผู้คนหนาแน่น เช่น โรงเรียน หรือสถานที่ทำงาน การติดต่อส่วนใหญ่จะเกิดในระยะแรกของโรค ซึ่งผู้ป่วยอาจยังไม่รู้ตัวว่ามีเชื้อและยังไม่แสดงอาการชัดเจน
อาการคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกต
- ไอหนักต่อเนื่อง: อาการที่เด่นชัดที่สุดคือการไออย่างต่อเนื่องและรุนแรง โดยมักมีอาการไอเป็นชุดและหยุดหายใจสั้น ๆ ก่อนจะไอต่ออีกครั้ง จนได้ยินเสียง “หวิ๊บ” (Whooping sound) ในขณะหายใจเข้า
- น้ำมูกไหลและไอคล้ายไข้หวัด: ในระยะแรกอาจมีอาการคล้ายน้ำมูกไหล ไอเบา ๆ คล้ายไข้หวัดธรรมดา ทำให้พ่อแม่อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพียงโรคหวัดปกติ
- หน้าและลำคอมีเสมหะสะสม: การไอและการมีเสมหะที่มากอาจทำให้เสมหะสะสมที่ลำคอ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหายใจลำบากและทำให้เสียงไอเป็นลักษณะเฉพาะ
- หายใจลำบาก: เมื่อลูกไอหนักต่อเนื่อง อาจส่งผลให้หายใจลำบาก หน้าแดงหรือบางครั้งอาจมีสีม่วงคล้ำ เนื่องจากร่างกายขาดออกซิเจน
- อาเจียนหลังไอ: การไอที่รุนแรงอาจทำให้เด็กอาเจียนหลังไอเสร็จ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กทารก
- อาการเหนื่อยล้า: เนื่องจากการไอหนักอย่างต่อเนื่อง เด็กอาจรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแรง หรือไม่สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้
- หยุดหายใจชั่วขณะ: ในทารกและเด็กเล็ก อาจมีอาการหยุดหายใจชั่วขณะระหว่างการไอ ซึ่งเป็นสัญญาณที่อันตรายและต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว
หากพ่อแม่สังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงเสียชีวิต
วิธีป้องกันไอกรน
- การฉีดวัคซีน: การป้องกันที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันไอกรน วัคซีนนี้มักจะได้รับเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีนรวม DTaP ซึ่งเป็นวัคซีนที่ป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน แนะนำให้เด็กได้รับวัคซีนตามตารางที่กำหนดโดยแพทย์
- รักษาความสะอาด: ให้ความสำคัญกับการล้างมือบ่อย ๆ และรักษาสุขอนามัยทั่วไป เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย: พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอหรือไข้หวัด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาด
- ดูแลสุขภาพทั่วไป: ให้ลูกน้อยได้รับอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
ถ้าที่โรงเรียนสงสัยว่าจะมีเด็กติดเชื้อไอกรน พ่อแม่ควรทำอย่างไร
หากที่โรงเรียนสงสัยว่าจะมีเด็กติดเชื้อไอกรน พ่อแม่ควรปฏิบัติดังนี้:
- แจ้งโรงเรียนและตรวจสอบข้อมูล: ติดต่อครูหรือผู้ดูแลเพื่อยืนยันข้อมูลและถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงขั้นตอนการป้องกันที่โรงเรียนกำลังดำเนินการ
- สังเกตอาการของลูกที่บ้าน: หากลูกมีอาการไอหนัก น้ำมูกไหล หรืออาการอื่น ๆ ที่คล้ายกับไอกรน ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด: หากพบว่ามีการติดเชื้อไอกรนในโรงเรียน ควรหลีกเลี่ยงการให้ลูกสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอหรือไข้หวัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ให้ลูกพักผ่อนและดูแลสุขภาพ: ให้ลูกได้รับอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนอย่างเพียงพอ และรักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวัคซีน: หากลูกยังไม่ได้รับวัคซีนหรือถึงเวลารับวัคซีนเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันไอกรนโดยเร็ว
ไม่ต้องกังวลใจ! หากพบความผิดปกติ หรือสงสัยว่าลูกเป็นไอกรน คลินิกกุมารเวช รพ.วิชัยเวชฯ หนองแขม พร้อมดูแลลูกน้อยของคุณอย่างใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเด็ก พร้อมให้คำปรึกษา วินิจฉัย และรักษา อย่างถูกต้อง และแม่นยำ พร้อมเปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
ติดต่อ คลินิกกุมารเวช
รพ.วิชัยเวชฯ หนองแขม
02-441-6999
หรือ ติดต่อได้ผ่านช่องทางไลน์ได้ง่ายๆ Line
หรือ สามารถตรวจเช็ค ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษา