ในช่วงที่ไข้อีดำอีแดงกำลังระบาด สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนกังวลใจมากที่สุด คงหนีไม่พ้นความกลัวว่าลูกรักจะติดเชื้อ เมื่อเห็นข่าวการปิดโรงเรียน หรือได้ยินเรื่องราวของเด็ก ๆ ที่เจ็บป่วย คุณพ่อคุณแม่คงรู้สึกไม่สบายใจ บทความนี้จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างมั่นใจ
ไข้อีดำอีแดงเป็นโรคติดเชื้อที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในเด็กวัยเรียน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ พ่อแม่จึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าจะเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก แต่ไข้อีดำอีแดงสามารถป้องกันและรักษาได้หากได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็ว การสังเกตอาการเบื้องต้น รวมถึงการป้องกันที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของโรคได้
ไข้อีดำอีแดงคืออะไร?
ไข้อีดำอีแดง เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย “สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ” (Group A Streptococcus) เชื้อนี้มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอ แต่ในบางครั้งก็สามารถผลิตสารพิษที่ทำให้เกิดผื่นแดงตามตัวได้ พบมากในเด็กอายุ 5-15 ปี
อาการที่ต้องสังเกต:
- ไข้สูง: ลูกของคุณอาจมีไข้สูงถึง 38.3 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า
- เจ็บคอ: พวกเขาอาจบ่นว่าเจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก หรือมีต่อมทอนซิลบวมแดง
- ผื่นแดง: ผื่นมักปรากฏขึ้นภายใน 1-2 วันหลังจากเริ่มมีไข้ ลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ คล้ายกระดาษทราย มักเริ่มจากบริเวณหน้าอกและลำคอ แล้วลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
- ลิ้นแดง: ลิ้นอาจมีลักษณะแดงเป็นปุ่ม ๆ คล้ายผลสตรอว์เบอร์รี
- อาการอื่น ๆ: ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโต
การติดต่อ:
ไข้อีดำอีแดงติดต่อได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือการหายใจรับละอองฝอยที่ผู้ป่วยไอหรือจาม
การป้องกัน:
- ล้างมือบ่อย ๆ: สอนลูกให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: หากทราบว่ามีคนใกล้ชิดป่วย ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด
- สวมหน้ากากอนามัย: เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ควรให้ลูกสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการรับเชื้อ
- รักษาสุขอนามัย: สอนลูกให้ใช้ช้อนส้อม แก้วน้ำ และของใช้ส่วนตัวแยกจากผู้อื่น
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: ให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การรักษา:
หากสงสัยว่าลูกเป็นไข้อีดำอีแดง ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม โดยปกติ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น โรคไข้รูมาติก และภาวะไตอักเสบ
- ยาปฏิชีวนะ:
- แพทย์มักสั่งยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน หรืออะม็อกซีซิลลิน เป็นระยะเวลา 10 วัน
- สิ่งสำคัญคือต้องให้ลูกทานยาจนครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และป้องกันเชื้อดื้อยา
- หากลูกมีอาการแพ้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะทางเลือกอื่นแทน
- การรักษาตามอาการ:
- ยาลดไข้: เพื่อบรรเทาอาการไข้และปวดเมื่อย
- ยาแก้เจ็บคอ: เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ และช่วยให้กลืนอาหารได้ง่ายขึ้น
- การพักผ่อน: การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย
- การดื่มน้ำ: ให้ลูกดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย
การดูแลที่บ้าน:
- ให้ลูกพักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- ให้ยาลดไข้: หากมีไข้สูง สามารถให้ยาลดไข้ตามคำแนะนำของแพทย์
- ให้ดื่มน้ำมาก ๆ: เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- ดูแลความสะอาด: หากมีผื่นแดง ควรดูแลผิวหนังให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการเกา
ข้อควรจำ:
- ไข้อีดำอีแดงเป็นโรคติดต่อที่ต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
- การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- หากลูกมีอาการน่าสงสัย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
การรับมือกับการระบาดของไข้อีดำอีแดง อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ด้วยความรู้และการเตรียมตัวที่ดี คุณพ่อคุณแม่จะสามารถดูแลลูกรักให้ปลอดภัยจากโรคร้ายนี้ได้ค่ะ
ดูแลสุขภาพลูกน้อยอย่างครบวงจร
ติดต่อศูนย์กุมารเวช รพ.วิชัยเวชฯ หนองแขม
02-441-6999
หรือ ติดต่อได้ผ่านช่องทางไลน์ได้ง่ายๆ Line
หรือ สามารถตรวจเช็ค ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษา